Naruto Uzumaki Maple Story

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กิจกรรมที่ 3 ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

ขั้นตอนกาทำโครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนจะมีความสำคัญต่อโครงงานนั้น ๆ การแบ่งขั้นตอนของการทำโครงงานอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงานและการวางแผนการทำโครงงานในที่นี้จะบ่งการทำงานออกเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้
http://image.slidesharecdn.com/random-141223030504-conversion-gate01/95/
1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจทำ
โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่าง ๆ จากการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นักเรียนสามารถจะศึกษาการได้มาของเรื่องที่จะทำโครงงาน การอ่านค้นคว้า การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยาย รายการวิทยุโทรทัศน์ สนทนาอภิปราย กิจกรรมการเรียนการสอน งานอดิเรก การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
– จะต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
– สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องได้
– มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
– มีเวลาเพียงพอ
– มีงบประมาณเพียงพอ
– มีความปลอดภัย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน สนใจทำ
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
รวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิช่วยจะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดของเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความรู้เพิ่มเติมในเรื่งที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสมในการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว นักเรียนจะต้องบันทึกสรุปสาระสำคัญไว้ด้วย
จะต้องพิจารณาดังนี้ มูลเหตุจูงใจและเป้าหมายในการทำ วัสดุอุปกรณ์ ความต้องการของผู้ใช้งานและคุณลักษณะของผลงาน (Requirement and Specification) วิธีการประเมินผล วิธีการพัฒนา ข้อสรุปของโครงงาน ความแปลกใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ แนวทางในการปรับปรุงหรือขยายการทดลองจากงานเดิม
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
3. การจัดทำเค้าโครงของโครงงานที่จะทำ จำเป็นต้องกำหนดกรอบแนวคิดและวงแผนการพัฒนาล่วงหน้าเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของโครงงาน ขั้นตอนที่สำคัญคือ ศึกษาค้นคว้าเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบการพัฒนา เสนอเค้าโครงของโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำและปรับปรุงแก้ไข
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0l7GByy18UqgKKxnpsGQOMwiH-wI5u1H3qBrJDvySonZGt4ijedcDOgCrfbHoyHayVCma-MoFFeA7W6ZU2GFo9p0wbRZN61W4dJwF38Ne-oPr9iAi8AXtfBqiUJHrjH9SzG-BFFd4emY/s400/
4. การลงมือทำโครงงาน เมื่อเค้าโครงได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้ เตรียมการ ลงมือพัฒนา ตรวจสอบผลงานและแกไข อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาโครงงานในอนาคต
http://www.britishskinfoundation.org.uk/Portals/0/
5. การเขียนรายงาน เป็นสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวความคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมาให้ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ
http://blog.janthai.com/wp-content/uploads/2013/06/

6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน เป็นการนำเสนอเพื่อแสดงออกถึงผลิตผลของความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีที่ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจในโครงงานนั้น ในการเสนออาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น ติดโปสเตอร์ การรายงานตัวในที่ประชุม การแสดงผลงานด้วยสื่อต่าง การจัดนิทรรศการ การอธิบายด้วยคำพูด
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWSSMNCHxhI-xzw5HZpmTylrqhQbv97af1wkMRD1TMk74VMw9PcIkiFVVvEiPMalJadgOUBOS1uy-M3qnp1cuCWGa2bi3QCIy4kAlchp9N3VCyHKMRn-eLLAf7BtjJP2VjZfrazX5qYcE/s1600/
สืบค้นวันที่21/12/59


กิจกรรมที่ 2 ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

    คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ

         
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โครงงานพัฒนาเครื่องมือ
         
     เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D
         
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
 
     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น
 
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย

5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
         
     เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ






cr.ข้อมูล
สืบค้นวันที่ 20/12/59

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง

ใบงานที่ 5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง

โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)


 ว่ากันที่จริง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนเราจะมีอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในชีวิต แต่ในบางคน กลับมีอาการรุนแรงและยาวนาน จนเข้าขั้นเป็น "โรคนอนไม่หลับ" ขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
                       เมื่อพูดถึงโรคนอนไม่หลับ หลายๆ คนมักจะคิดไปว่าเกี่ยวข้องกับความเครียดหรือการคิดมาก ทำให้ไม่กล้าที่จะปริปากบอกผู้อื่นหรือคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับอยู่ เพราะเกรงจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ที่จริงแล้ว สาเหตุของโรคนอนไม่หลับนั้นมีมากมายหลายอย่าง ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะสาเหตุจากความเครียดเท่านัั้น 
                อาการนอนไม่หลับเองก็มีหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่เข้านอนแล้วหลับยาก หรือตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือตื่นเช้ามืดกว่าปกติแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือหลับๆ ตื่นๆ ทั้งผู้ที่นอนไม่หลับหรือหลับได้ไม่เพียงพอ มักจะมีอาการอ่อนเพลียในตอนกลางวัน สมองไม่ปลอดโปร่ง อาจหงุดหงิด อาจง่วงซึม หรือหลับมากในตอนกลางวัน ประสิทธิภาพในการเรียน ในการทำงานมักจะลดลง นอกจากนี้อาจมีอาการของโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับด้วย เช่น ตอนกลางคืนนอนกรนเสียงดัง หรืออาจหยุดหายใจเป็นพักๆ หรืออาจมีอาการของโรคซึมเศร้า คือรู้สึกซึมเศร้า เบื่อหน่าย  ท้อแท้ หดหู่ เบื่ออาหาร เบื่อชีวิต คิดอยากตาย
เมื่อไรจึงเรียกว่านอนไม่หลับ

            การนอนไม่หลับไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาการนอนไม่เพียงพอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งส่ง


ผลกระทบต่อหน้าที่การทำงานและความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ แต่ละคนอาจมีความรู้สึกต่อการนอนไม่หลับ

ได้หลายแบบ เช่น นอนหลับยากใช้เวลานานจึงจะหลับ นอนหลับไม่สนิท นอนหลับๆ ตื่นๆ นอนเร็วกว่า

ปกติ ตื่นนอนแล้วไม่สดชื่นเหมือนไม่ได้หลับ บางคนอาจคิดหมกมุ่นอยู่กับอาการของตน

โดยทั่วไปแล้วเราพอจะสรุปถึงสาเหตุของโรคนอนไม่หลับได้อย่างง่ายๆ ดังนี้
1. เป็นความผิดปกติในตัวคนนั้นเอง เช่น เคยนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง  ต่อมาจะกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ทำให้นอนไม่หลับ หรือมีอาการนอนไม่หลับขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่พบ หรืออาจสัมพันธ์กับการนอนกรนบางอย่างได้ 
2. เป็นจากความผิดปกติภายนอก เช่น เกิดเรื่องราวทำให้เครียด สภาพแวดล้อม ในการนอนไม่ดี หรือเกี่ยวข้องกับการติดยาหรือสารบางอย่าง เช่น เหล้า หรือยานอนหลับ เป็นต้น
 3. เป็นอาการหนึ่งของโรคทางจิตเวชหรือโรคทางกาย เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ที่มีอาการท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต เบื่ออาหาร ความจำไม่ค่อยดี อ่อนเพลียร่วมด้วย โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
 ส่วนประเภทของโรคนอนไม่หลับนั้น เราแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
 ก. การนอนไม่หลับแบบชั่วคราว : ลักษณะนี้หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ คนไม่น้อยอาจจะเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน, มีปัญหากับที่ทำงานหรือใกล้ๆ วันสอบหรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้นก็หยุดยาได้
 ข. การนอนไม่หลับแบบระยะต่อเนื่อง : หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียดหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น การ ตกงาน, ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ดังในกลุ่มถัดไป
 ค. การนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง: คนกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน 
      นอกจากนี้แล้วยังพบได้อยู่เรื่อยๆว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ, กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน, อาการปวดหรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น
       ทั่วๆ ไปนั้น คนที่มีอาการนอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มอิ่มอย่างต่อเนื่อง 2-3 ขึ้นไป ก็มักรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ และหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาปรึกษาแพทย์หลายครั้งเหมือนกัน ที่ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถดีขึ้นได้ เพียงแค่ได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของการนอน หรือเพียงแต่แค่ปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หรือทัศนคติบางอย่างที่มีต่อการนอนหลับ แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะใช้ยาบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปัญหาการนอนนั้นดีขึ้น หรืออาจจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินสภาพการนอนหลับให้ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น โดยใช้ห้องปฏิบัติการการนอนหลับ เป็นต้น
        เมื่อพูดถึงการรักษา หลายคนจะคิดถึงการใช้ยานอนหลับ และในบางคนจะมีความรู้สึกกลัวการใช้ยานอนหลับ กลัวจะติดยา หยุดยาไม่ได้ กลัวว่ายาอาจไปทำลายสมองบ้าง เป็นต้น ทำให้ไม่กล้าและไม่อยากที่จะรักษา แต่จริงๆ แล้วยาที่ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นยานอนหลับแต่เพียงอย่างเดียว และถึงแม้จะต้องมีการใช้ยานอนหลับร่วมด้วย ผลของการใช้ยาก็ไม่น่ากลัว เหมือนกับที่บางคนคิด โดยเฉพาะถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์
การนอนไม่พอส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

            ผลกระทบขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนที่นอนไม่หลับ โดยพบว่า
            - คุณภาพชีวิตลดลง
            - อัตราของการขาดงานเพิ่มขึ้น
            - ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
            - มีการใช้บริการทางการแพทย์สูงขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่นร่าเริง หงุดหงิด ขาดสมาธิ
            - ความสามารถในการดำเนินชีวิตลดลง
            - ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย มีรายงานว่าถ้าขับรถยนต์ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้น 2.5เท่า
            - การนอนไม่หลับ ในคนที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตเวช พบว่าโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซ้ำอีก รวมทั้งเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงขึ้นในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วย


เมื่อไหร่จึงควรจะปรึกษาแพทย์

            ถ้ามีอาการนอนไม่หลับมากกว่า สัปดาห์ หรือมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในเวลากลางวัน ควร

จะมาปรึกษาแพทย์ อาจทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอน ประมาณ 10 วัน ก่อนพบแพทย์เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ประเมินได้ถูกต้อง

 การรักษาอาการนอนไม่หลับอย่างแท้จริงนั้น
 1. เราจะต้องค้นหาสาเหตุ และกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับก่อน ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย หรือโรคทางจิตเวช ก็ต้องรักษาโรคเหล่านั้นให้ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยให้นอนหลับในช่วงเริ่มต้น และใช้ยาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือความเจ็บป่วยทางจิตเวชดีขึ้น อาการนอนไม่หลับก็จะหมดไป และสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น
 2. ปฏิบัติตนตามสุขลักษณะการนอนที่ดี ได้แก่ จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวหรือเย็นเกินไป ไม่ให้มีเสียงดังอึกทึก ควรมีบรรยากาศที่สงบเงียบ หรืออาจมีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นต้น 
        -ใช้ห้องนอนสำหรับการนอนเท่านั้น ไม่ใช้ห้องนอนทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น รับประทานอาหาร เล่นเกมส์ต่างๆ
         -การดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้ว หรือรับประทานกล้วย 1 ผล ก็อาจช่วยให้หลับได้ดีขึ้น
         -หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นสมอง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลมโคล่า เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ในตอนบ่าย ตอนเย็น หรือช่วงก่อนนอน
         -หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ซึ่งรวมถึง เหล้า เบียร์ ไวน์ อย่างต่อเนื่องทุกวัน  เพราะมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทได้ในกรณีที่ดื่มติดต่อกันนานๆ เพราะถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์จะช่วยให้การนอนหลับง่ายขึ้นบ้าง แต่การใช้อย่างต่อเนื่องจะรบกวนต่อการนอนหลับในที่สุด
          -การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักในตอนเย็นหรือก่อนนอน ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในตอนเช้า สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 20-30 นาที จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน พยายามตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน รวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดต่างๆ ด้วย วิธีนี้จะช่วยให้วงจรการหลับ-การตื่นของคนเราให้ทำงานได้ดี ไม่เกิดปัญหา
          -หลีกเลี่ยงการดูภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ที่ตื่นเต้นในช่วงก่อนเข้านอน พยายามไม่ดื่มน้ำมากๆ ในตอนเย็น เพื่อไม่ต้องลุกไปปัสสาวะตอนกลางคืน
           -คนที่โกรธหรือหงุดหงิดเพราะตัวเองนอนไม่หลับนั้น ไม่ควรที่จะข่มตาตัวเองให้หลับอีกต่อไป แต่ควรลุกขึ้นมาเปิดไฟ ออกจากห้องนอน หาอะไรอย่างอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะสักเล่ม ไม่ควรทำอะไรที่ทำให้ตาสว่างมาก เมื่อรู้สึกง่วงจึงกลับไปนอน ถ้ารู้สึกว่าตัวเองตื่นมากลางดึกแล้วคอยจะดูเวลาอยู่เรื่อย ให้เก็บนาฬิกาไว้ที่อื่น
3. ยาช่วยให้นอนหลับ ควรรับประทานเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2-6 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ติดยา หรือต้องพึ่งยาตลอดไป
         ยาช่วยให้นอนหลับหรือยานอนหลับ จะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับที่เป็นแบบชั่วคราว หรือเพิ่งมีอาการมาไม่นาน เช่น ไม่เกิน 2-4 สัปดาห์ ให้นอนหลับได้ดี และช่วยให้อาการต่างๆ ดีขึ้นเร็ว และสามารถหยุดใช้ยานอนหลับได้เร็ว ข้อควรระวังก็คือไม่ควรใช้ยานอนหลับต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดภาวะดื้อยา ติดยา และอาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม หรือความจำถดถอยลงได้
อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ
 1. เครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ประเภทมอลต์สกัด เช่น โอวัลติน หรือ ไมโล (ไม่ต้องหวาน)
 2. เครื่องดื่มชาสมุนไพรต่าง เช่น แคโมไมล์ ไลม์บลอสซัม วาเลอเรียน มะตูม เก๊กฮวย เป็นต้น (ยกเว้นในผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะบ่อย อาจทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วนอนต่อไม่หลับได้ง่ายๆ)
 3. นมชนิดหวานทำให้หลับได้ง่าย เพราะน้ำตาลจะช่วยทำให้เซลล์สมองดูดซึมกรดอะมิโน ทริปโตฟาน จากกระแสโลหิต ให้เปลี่ยนเป็น เซโรโทนินเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย (แต่น้ำตาลก็ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ต้องชั่งใจดู)
 4. อาหารจำพวกแป้ง โดยแป้งมีฤทธิ์คล้ายยาระงับความวิตกกังงล หรือทำให้กลูโคสในกระแสเลือดสูงขึ้น กระตุ้นการหลั่ง Serotonin (แต่ก็เพิ่มน้ำหนักตัวด้วยเหมือนกัน)
 5. น้ำผึ้ง ซึ่งเคยใช้เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มานานแล้ว โดยชงผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในนมอุ่นๆ หรือ ชาสมุนไพร


cr.http://www.si.mahidol.ac.th/Th/department/psychiatrics/dept_article_detail.asp?a_id=815



วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 4 คลังข้อสอบ


แหล่งรวมคลังข้อสอบ


O-NET (Ordinary National Educational Test)

คือ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน  เป็นการทดสอบเพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จำนวน 51 มาตรฐานการเรียนรู้ ครอบคลุม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่
1.       ภาษาไทย
2.       คณิตศาสตร์
3.       วิทยาศาสตร์
4.       สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
5.       ภาษาอังกฤษ

วัตถุประสงค์ O-NET

1.       เพื่อทดสอบความรู้และความคิดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2.       เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการจบการศึกษา  ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
3.       เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน
4.       เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชาติ
5.       เพื่อนำผลการทดสอบไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น

ข้อสอบ O-Net ปีการศึกษา 2548 (สอบ กพ. 2549)

Download ข้อสอบ O-Net 48
Download เฉลย O-Net 48

ข้อสอบ O-Net ปีการศึกษา 2549 (สอบ กพ. 2550)

Download ข้อสอบ O-Net 49
Download เฉลย O-Net 49

ข้อสอบ O-Net ปีการศึกษา 2550 (สอบ กพ. 2551)

Download ข้อสอบ O-Net 50
Download เฉลย O-Net 50

ข้อสอบ O-Net ปีการศึกษา 2551 (สอบ กพ. 2552)

Download ข้อสอบ O-Net 51
Download เฉลย O-Net 51

ข้อสอบ O-Net ปีการศึกษา 2552 (สอบ กพ. 2553)

Download ข้อสอบ O-Net 52
Download เฉลย O-Net 52


ก่อนจะรู้ว่า GAT/PAT คืออะไร เราลองมาดูประวัติของมันกัน

ตอนแรกคิดว่าจะเขียนสั้นๆ แต่พอเขียนจริงแล้วค่อนข้างยาวนะครับ ใครไม่สนใจก็ข้ามไปอ่านส่วนของ GAT/PAT ข้างล่างได้เลยนะครับ คลิ๊กที่นี่

ยุคเอนทรานซ์ 1.0 (????-2541)

ก่อนที่จะลงไปในรายละเอียด ผมขอเล่าให้ฟังก่อนครับว่าระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมัยก่อน จะเรียกว่าเอนทรานซ์ คือการยื่นอันดับและสอบครั้งเดียวรู้ผลไปเลยหลังจากจบ ม.6 เทอม2 (เดือนมีนาคม) สอบทั้งหมดเกือบสิบวิชา คะแนนเต็มวิชาละ 100 คะแนน คณะไหนใช้วิชาอะไรบ้างก็เลือกมาแล้วเอาคะแนนมารวมกัน แต่ว่าในสมัยนั้นกลับมีปัญหาอยู่ทั้งหมด สามเรื่องด้วยกันครับ คือ
1. เด็กทิ้งเกรดในห้องเรียน
2. ข้อสอบส่วนมากเป็นชอยส์ ทำให้เด็กที่ทำมั่วๆ มีโอกาสได้คะแนนเฉลี่ยแล้ว = 25%
3. เด็กไม่สนใจจะเรียนเพื่อให้รู้ แต่จะเรียนกวดวิชาหาสูตรลัดเพื่อเอาไปสอบเท่านั้น พอเข้ามหาวิทยาลัยไปได้ ก็ง่อย เพราะไม่รู้ที่มา
    ปัญหาสามข้อนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากของผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการการศึกษา แรกๆผมเองก็ตามสนใจ แต่หลังๆชักเยอะ ผมเบื่อเลยไม่ตามต่อตรงกลางเรื่อง แต่สรุปเลยคือ
1. มีการนำ GPA (เกรดเฉลี่ย) ในห้องเรียนมาคิดรวมในคะแนนสอบด้วย 10%
2. ออกข้อสอบให้ยากขึ้น และให้ตอบซับซ้อนมากขึ้นกว่าชอยส์ และเติมคำตอบ
3. ออกข้อสอบให้แหวกแนวมากขึ้น ให้สูตรลัดใช้ไม่ได้ กันท่ากวดวิชา

เกิดเป็นยุค เอนทรานซ์ 2.0 (2542-2548)

ซึ่งจริงๆผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวคิดนะครับ แต่รู้สึกว่าการปฎิบัติกลับถอยหลังลงคลองไปซะอย่างนั้น… ไม่กล่าวถึงรายละเอียดแล้วกันนะครับ หลังจากนั้นก็เกิดเป็น เอนทรานซ์ 2.0 ซึ่งก็เหมือนเอนทรานซ์แหล่ะ แต่เพิ่มให้สอบได้สองรอบคือ ตค และ มีค. แล้วค่อยเอาคะแนนไปยื่นอันดับอีกรอบ
ยุคเอนทรานซ์ 2.0 เกิดปัญหาเรื่อง GPA ที่นำมาคิดคะแนนรวม เพราะมีหลายโรงเรียนให้เกรดเกร่อ 4.00 กันทั้งห้อง อะไรแบบนี้ แต่บางโรงเรียนก็ยังคงมาตรฐานเดิมอยู่คือให้เกรดเฉลี่ย 2.50 ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น จริงๆก็มีค่านึงที่เอาไว้แก้ปัญหานี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว นั่นคือสัมประสิทธิ์ของแต่ละโรงเรียน โรงเรียนที่เด็กเก่งค่าก็มาก โรงเรียนที่เด็กอ่อนค่าก็น้อย เอามาคูณกับเกรด เป็นคะแนนอีกที แต่ก็นั่นแหล่ะครับ เกิดการถกเถียงเรื่องความไม่โปร่งใสของค่าสัมประสิทธิ์นี้ ว่าทำไมโรงเรียนนี้ได้เยอะ ได้น้อย สุดท้ายแล้วเพื่อให้ได้มาตรฐานมากขึ้น จึงเกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระแห่งใหม่เพิ่มขึ้นมา

กำเนิด สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) (2549)

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การศึกษาไทย โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อทำการจัดสอบนักเรียนโดยเฉพาะ ซึ่ง สทศ. เนี่ย ก็จัดแจงเปลี่ยนชื่อการสอบเอนทรานซ์ ไปเป็นการสอบแอดมิชชัน และเปลี่ยนชื่อข้อสอบเอนทรานซ์ไปเป็น A-Net ก่อน หลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงข้อสอบใหม่อีกครั้งจนเกิดเป็น GAT/PAT ขึ้น ส่วน O-Net ก็ยังเก็บไว้เหมือนเดิมครับ การเกิดขึ้นของสทศ. นี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป!! ซึ่งก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วยครับ

กำเนิด O-Net (2549)

จุดประสงค์ของข้อสอบ O-Net คือเอาไว้วัดค่าสัมประสิทธิ์ของโรงเรียน เพื่อนำไปเฉลี่ยน้ำหนักกับ GPA เพื่อให้ได้คะแนนในส่วนนี้ขึ้นมา ทำให้คะแนนของนักเรียนทุกคนมีการวัดผลอย่างยุติธรรม มีการวัดผลสามครั้งคือ ป.6 ม.3 และ ม.6 ครับ

กำเนิด A-Net (2549-2552)

ในตอนนั้นมีข้อสอบอยู่สองชุดด้วยกันคือ O-Net และเอนทรานซ์ ฟังดูไม่น่าเป็นพี่น้องกันเลยนะครับ นั่นแหล่ะครับ เลยเกิดการเปลี่ยนชื่อขึ้นมา เพื่อให้ฟังดูเข้าคู่กันมากขึ้น จากเอนทรานซ์ เปลี่ยนไปเป็น A-Net ฟังดูแล้ว เหมือนเป็นข้อสอบพี่น้องคลานตามกันมาเลยนะครับ  แต่อยู่ได้ไม่กี่ปี A-Net ก็โดนยุบ และเปลี่ยนระบบใหม่เป็น GAT/PAT

เกิดเป็น GAT/PAT แล้ว (2553)

เอ้าเขียนมาตั้งนานตอนนี้เข้าเรื่อง GAT/PAT แล้วนะครับ ช่วงเริ่มต้นของ GAT/PAT มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆ หลักๆเลยก็คือ บางปีมีการสอบ GAT/PAT ถึงสามครั้งด้วยกัน (กค/ตค/มีค) แต่หลังๆนี้ยุบเหลือเพียงแค่ปีละสองรอบครับ (ตค/มีค) ด้วยเหตุผลที่ว่าออกข้อสอบไม่พอใช้งาน  เจ้า GAT/PAT เนี่ยมันเกิดขึ้นมาเพื่อวัดถุประสงค์ในการวัดผลนักเรียนจากความถนัดสองส่วนด้วยกันคือ GAT และ PAT นั่นเอง เดี๋ยวจะเริ่มลงลึกในข้อสอบแต่ละตัวแล้วนะครับ

สัดส่วนที่ใช้คำนวณคะแนน

1.       ผลการเรียนเฉลี่ยสะสม (GPAX) ค่าน้ำหนัก 20%
2.       ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ค่าน้ำหนัก 30%
3.       ผลการทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) ค่าน้ำหนัก 10-50%
4.       ผลการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT) ค่าน้ำหนัก 0-40%

ค่าสมัครสอบ GAT/PAT

ค่าสมัครสอบ GAT/PAT ล่าสุดคือ วิชาละ 140 บาทครับ (ลดจากตอนแรกๆที่คิดวิชาละ 200 บาท) สามารถสมัครสอบและจ่ายเงินได้หลายช่องทาง แต่ที่ผมชอบจริงๆเพราะสะดวกมากคือ Counter service 7-11 ทุกสาขาในข่วงที่เปิดรับสมัครครับ เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 10 บาท/1ใบสมัครนะครับ

GAT (General Aptitude Test) ความถนัดทั่วไป

ก็ตามชื่อเลยครับ ข้อสอบ GAT หรือข้อสอบความถนัดทั่วไป แบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันคือ

1.GAT เชื่อมโยง

ความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์  คะแนนเต็ม 150 คะแนน

2.GAT อังกฤษ

ส่วนของความถนัดด้านภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 150 คะแนน
    ในการสอบ GAT นี้ ส่วนของภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาเลยครับ ปัญหาหลักๆจะอยู่ที่ข้อสอบ GAT เชื่อมโยง ที่คอนเซปต์ของมันคือการวัดความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ แต่ว่าตัวข้อสอบที่ออกมาจะออกแนว งงๆหน่อย ไม่รู้ว่าเขาถามอะไร 
    ข้อนี้เป็นข้อสอบจริงมาจากจาก GAT 2554 สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก GAT เชื่อมโยงมาก่อนเลย ผมรับประกันว่า งง ครับ เริ่มอ่านโจทย์ก็งงแล้ว เลือกคำตอบนี่งงกว่าอีก ชอยส์อยู่ไหน อะไรคือ 99H ให้ฝนคำตอบยังไง 
แต่ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ เมื่อไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบ GAT เชื่อมโยงครับ นักเรียนแทบทุกคนที่กวดวิชาเพื่อสอบ GAT เชื่อมโยงนี้จะได้เต็ม 150 หรือเกือบเต็มกันเยอะมากครับ คะแนนค่อนข้างเฟ้อเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับนักเรียนที่ไม่ได้กวดวิชาแล้วคะแนนจะค่อนข้างห่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ ซึ่งคะแนนนิดๆหน่อยๆนี่ก็สำคัญมากนะครับ สิบคะแนนอาจจะเป็นตัวตัดสินได้เลยว่าจะได้อันดับหนึ่ง หรือไม่ได้เลย (แอดไม่ติดไปเลย) ความเห็นส่วนตัวนะครับ เป้าหมายหลักของเราคือทำคะแนนให้ได้มากที่สุด เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่เราต้องการ (ส่วนเรื่องคุณภาพการสอบปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาจัดการกันไป) ถ้ามีเงินก็ต้องเรียนกวดวิชาครับ เป็นหนทางที่ง่ายและเร็วที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีเงินกวดวิชาก็ต้องขยันเข้าสู้ครับ ลองดูในเว็ป tewfree.com แห่งนี้ได้ครับ ผมได้อัพคลิปวีดีโอที่ อ. จากกวดวิชาชื่อดังหลายท่านมาสอน GAT เชื่อมโยง จากโครงการต่างๆไว้แล้วครับ

PAT (Professional Aptitude Test) ความถนัดทางด้านวิชาชีพและวิชาการ

ข้อสอบในส่วนนี้แต่ละคณะสามารถเลือกได้ว่าจะใช้วิชาไหนในการยื่นคะแนนบ้าง แบ่งออกย่อยๆเป็นข้อสอบทั้งหมด 7 วิชาครับ แต่ละวิชามีคะแนนเต็ม 300 คะแนน ใช้เวลาในการสอบ 3 ชั่วโมงเต็ม ทั้งหมดเป็นข้อสอบที่ยากที่สุดในระบบแอดมิชชันแล้วครับ (ยากกว่านี้ก็คือข้อสอบโอลิมปิก)

PAT1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์

PAT2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์

PAT3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์

PAT4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

PAT5 ความถนัดทางวิชาชีพครู

PAT6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์

PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ (มีแบ่งย่อยเป็น 7.1-7.8 แล้วแต่ว่าจะสอบวิชาภาษาอะไร)

จุดสังเกตุของข้อสอบ PAT อยู่ที่ PAT2 ครับ ซึ่งรวมเอาสามวิชาคือ ฟิสิกส์ เคมี และชีวะ รวมเข้าในวิชาวิทยาศาสตร์วิชาเดียว สอบ 3 ชั่วโมง ที่เราเรียนกันในโรงเรียนแยกเป็นสามวิชา แต่ละวิชาหน่วยกิตหนักๆทั้งนั้น แต่ตอนสอบเอามารวมกันเป็นวิชาเดียวครับ
เรื่องการรวมวิชาของ PAT2 ค่อนข้างมีปัญหากับคณะเฉพาะทาง เช่นคณะทางแพทย์ซึ่งต้องการให้สอบชีวะเยอะๆ แต่ทางข้อสอบ PAT ไม่มีให้ จึงรวมตัวออกไปจัดสอบตรงกันครับ ชื่อ กสพท. ส่วนคณะทางสถาปัตย์และวิศวกรรมศาสตร์ที่จะเอาแค่ฟิสิกส์เคมี แต่ไม่เอาชีวะ ก็มีอยู่สองแบบครับคือ รับผ่านระบบแอดมิชชัน แล้วนับคะแนนชีวะไปด้วยเลย กับออกไปจัดสอบตรงเองครับ (ซึ่งสอบตรงของวิศวะและสถาปัตย์ส่วนใหญ่ไม่มีชีวะ ยกเว้นบางภาควิชา)
ในฐานะที่ตัวผมเองได้คลุกคลีกับข้อสอบ PAT1 คณิตศาสตร์มาบ้าง (จริงๆคือทุกปีแหล่ะครับ) ข้อสอบ PAT1 นี่ยากกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ A-Net และเอนทรานซ์มากๆเลยครับ นักเรียนเองก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้อสอบ PAT1 หรือข้อสอบโอลิมปิกเนี่ย 

คนส่วนใหญ่ได้คะแนน PAT ต่ำ แต่ก็เป็นโอกาสของเรานะ

จากสถิติแล้วคะแนนสอบ PAT ทั้งหมดเนี่ยครับ ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากๆ คือทุกคนได้คะแนนน้อยมากๆกองกันอยู่แถวนั้น ในทางกลับกันคือ ถ้าใครสามารถทำคะแนนในบางวิชา หรือหลายวิชา ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก็จะได้เปรียบอย่างมากในการสอบแอดมิชชันครับ

เคล็ดลับคือ ทำข้อสอบเก่าให้มากเข้าไว้

ข้อสอบ PAT ถือเป็นข้อสอบที่ยากครับ ถ้าใครคิดว่าอ่านหนังสือแล้วจะไปสอบได้ล่ะก็ ต้องคิดใหม่แล้วครับ แบบนั้นกินไม่ลงครับ คนที่จะทำข้อสอบ PAT ได้คะแนนสูง(กว่าคนอื่น) คือคนที่มีชั่วโมงบินในการทำข้อสอบมากกว่าคนอื่นนั่นเองครับ สมมุติว่ามีเวลา 4 เดือนในการเตรียมตัวสอบ PAT พี่อยากให้น้องแบ่งเวลา 1 เดือนแรกในการทบทวนเนื้อหาให้หมด และให้ความสำคัญกับ 3 เดือนที่เหลือในการเน้นทำข้อสอบ PAT ปีเก่าๆให้หมด ทำหลายๆรอบจนกว่าจะเห็นข้อสอบปุ๊บบอกได้ปั๊บเลยว่าข้อนี้ใช้เนื้อหาอะไรบ้าง ต้องคิดอย่างไร สับขาหลอกตรงไหน ฯลฯ เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว น้องสามารถทำคะแนน PAT ได้สูงแน่นอนครับ

คะแนนสอบแปรผันตามชั่วโมงบินในการทำข้อสอบเก่า

น้องบางคนอาจจะแบ่งเวลาไม่เท่ากันนะครับ บางคนอาจใช้เวลาทบทวนเนื้อหามากหน่อย ไม่เป็นไรครับ แต่ต้องเผื่อเวลาไว้ทำข้อสอบเก่าด้วยนะครับ จำคำพี่ไว้ครับ คะแนนสอบแปรผันตามชั่วโมงบินในการทำข้อสอบเก่า แล้วเจอกันครั้งหน้า โชคดีครับ